Search Engine Marketing (SEM) คืออะไร? ทำการตลาดเสิร์ชเอ็นจิ้นอย่างไรดี?

Search Engine Marketing (SEM) คืออะไร? ทำการตลาดเสิร์ชเอ็นจิ้นอย่างไรดี?

ปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนเราอย่างมาก การตลาดบนโลกออนไลน์จึงมีหลากหลายแบบ หนึ่งในวิธีที่กำลังได้รับความนิยมคือ Search Engine Marketing หรือ การตลาดเสิร์ชเอ็นจิ้น ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายผ่าน Web Search Engine อย่าง Google ที่มีคนใช้งานจำนวนมาก

 

Search Engine Marketing (SEM) คืออะไร?

Search Engine Marketing หรือเรียกย่อๆ ว่า SEM เป็นคำที่เกิดจากการนำคำว่า Search Engine ที่เป็นเครื่องมือค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต (อ่านเพิ่มเติม…) มาผสมกับ Marketing ที่แปลว่าการตลาด เกิดเป็นคำใหม่ มีความหมายว่า “การทำตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ต” มีวิธีการทำคือสร้างคำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการขึ้นมาบนหน้าเว็บไซต์ แล้วเมื่อมีคนค้นหาข้อมูลบน Search Engine เช่น Google หรือ Yahoo! เว็บไซต์ของเราก็จะขึ้นเป็นอันดับแรกๆ ทำให้เข้าถึงลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ

 

1. Search Engine Optimization (SEO)

Search Engine Optimization หรือที่เรียกย่อๆ ว่า SEO คือ การปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ในส่วนต่างๆ ทั้งส่วนของโครงสร้างเว็บไซต์ โค้ด ความเร็วในการเข้าถึงเว็บไซต์ รวมถึงเนื้อหา ให้ตรงกับความต้องการของ Web Search Engine เพื่อให้เว็บไซต์ของเราขึ้นลำดับแรกๆ เช่น อันดับ 1-10 ซึ่งเป็นหน้าแรก ทำให้มีผู้เห็นเว็บไซต์ของเรามากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการใช้ Search Engine ให้เกิดประโยชน์ต่อเว็บไซต์ของเรานั่นเอง (อ่านเพิ่มเติม…SEO (Search Engine Optimization) คืออะไร?)

แนวทางวิธีการทำ SEO

ด้านเนื้อหา
  • เลือกคีย์เวิร์ดที่จะทำให้ติดอันดับ โดยส่วนใหญ่จะเลือกเป็นคีย์เวิร์ดที่คนทั่วไปเลือกใช้เวลาค้นหาข้อมูล แต่บางคีย์เวิร์ดก็จะมีการแข่งขันที่สูง
  • ปริมาณของคีย์เวิร์ดที่ปรากฏในบทความต้องไม่มากไม่น้อยเกินไป
  • ตำแหน่งที่คีย์เวิร์ดปรากฏอยู่ก็มีความสำคัญ โดยคีย์เวิร์ดควรปรากฏบนชื่อบทความ หรือ Title, H1
  • รูปแบบของคีย์เวิร์ดต้องมีความแตกต่าง เช่น ตัวหนา ตัวเอียง
ด้านโครงสร้างเว็บไซต์
  • ทำ Responsive Design เพื่อให้รองรับการใช้งานทุกอุปกรณ์ เช่น Desktop, Mobile
  • เพิ่มความปลอดภัยของเว็บไซต์ด้วยการทำ HTTPS
  • ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น
ด้านความน่าเชื่อถือ
  • ส่ง Backlink จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องมายังเว็บไซต์ของเรา
  • แชร์ลิงค์หน้าเว็บไต์ของเราในโซเชียลมีเดียต่างๆ

 

2. Pay Per Click (PPC)

Pay Per Click หรือที่เรียกย่อๆ ว่า PPC คือ การทำโฆษณาบน Search Engine เช่น Google, Yahoo!, Bing เป็นต้น เพื่อให้ขึ้นเป็นลำดับแรกๆ ในการค้นหาโดยไม่ต้องเสียเวลาทำ SEO ทำให้มีผู้ใช้งานเห็นเป็นจำนวนมาก ส่วนค่าใช้จ่ายในการโฆษณาจะคิดตามจำนวนครั้งที่มีคนคลิกผ่านโฆษณาเข้ามาเท่านั้นและสามารถกำหนดงบประมาณในการลงโฆษณาได้ตามเหมาะสม สำหรับโปรแกรมลงโฆษณายอดฮิตของทั่วโลกและในไทยก็คือ Google Ads (ชื่อเดิมคือ Google AdWords) (อ่านเพิ่มเติม…Google Ads (Google AdWords) คืออะไร?)

แนวทางวิธีการทำ PPC

ด้านแคมเปญโฆษณา
  • เลือกคีย์เวิร์ดสำหรับการใช้โฆษณาให้เหมาะสม ไม่กว้างจนเกินไป ทำให้ราคาประมูลต่อคลิก หรือ Cost Per Click (CPC) ไม่สูง
  • กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะโฆษณาให้ชัดเจน เช่น ประเทศ ภาษา
  • จัดระเบียบแคมเปญโฆษณาให้เป็นระบบ
  • เขียนคำโฆษณาที่น่าสนใจและสอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่เลือกประมูล เพื่อให้มีคนคลิกเข้ามา หรือเรียกว่า Click Through Rate (CTR)
ด้านหน้าเว็บไซต์
  • ทำ Landing Page หรือหน้าเว็บไซต์ให้น่าสนใจ มีข้อมูลพอเพียง
  • ใส่ปุ่ม Call To Action ใน Landing Page เพื่อที่คนคลิกเข้ามาแล้วจะมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์ต่อ (อ่านเพิ่มเติม…)
  • หากเป็นไปได้ ควรมีการวัดผลด้วยว่าการลงโฆษณาเป็นอย่างไร เช่น Conversion อย่างการสั่งซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก

 

การทำ Search Engine Marketing แต่ละแบบ ทั้ง SEO และ PPC มีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของเราว่าอยากทำการตลาดแบบไหนมากกว่า ถ้าไม่อยากเสียเงินทำโฆษณา ก็สามารถเลือกทำ SEO แม้ต้องใช้เวลาการทำที่นานกว่า ยุ่งยากกว่า เพราะต้องมีการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดี แต่สามารถอยู่บนหน้า Search Engine ได้นานกว่า ถ้ามีทุนและต้องการความรวดเร็ว PPC ก็เหมาะสมกว่าเพราะสามารถลงโฆษณาให้ติดในหน้าแรกได้ทันที

 

Top

รายชื่อธุรกิจมาใหม่